วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล



ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาดร. สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เป็นข้าราชบริพารที่รับใช้เบื้องพระยุคลบาทอย่างใกล้ชิด
เกิดเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2482 ที่จังหวัดเพชรบุรี เป็นบุตรของนาย อารีย์ ตันติเวชกุล อดีต ส.ส.จังหวัดนครราชสีมา 5 สมัย เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ท่านผู้หญิง ประสานสุข ตันติเวชกุล ต้นเครื่องพระกระยาหารไทยในพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน สมรสกับคุณหญิง จินตนา ตันติเวชกุล อาจารย์ภาควิชาภาษาฝรั่งเศส มหาวิทยาลัยรามคำแหง
[การศึกษา]
- วชิราวุธวิทยาลัย
- ระดับมัธยมและอนุปริญญา ที่ประเทศเวียตนามและประเทศลาว ทุนรัฐบาลฝรั่งเศส
- ปริญญาตรีทางรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกรอนอบ ประเทศฝรั่งเศส
- ปริญญาโท-เอกทางรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยมองแปลลิเย (Université de Montpellier) ประเทศฝรั่งเศส
- ประกาศนียบัตร การพัฒนาเศรษฐกิจ EDI ธนาคารโลก วอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา
- ประกาศนียบัตร การวางแผนเศรษฐกิจ IIAP สถาบันบริหารระหว่างประเทศ ปารีส ประเทศฝรั่งเศส
- วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 28
- วิทยาลัยการทัพบก รุ่นที่ 23
[การทำงาน]
พ.ศ. 2512 เข้าทำงานที่กองวางแผนเตรียมพร้อมด้านเศรษฐกิจ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
- พ.ศ. 2523 เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)
- พ.ศ. 2524-2542 เลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.)
- พ.ศ. 2537-2539 เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์)
- พ.ศ. 2548-ปัจจุบัน นายกสภามหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- พ.ศ. 2531-ปัจจุบัน กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา
ประธานมูลนิธิประเทศไทยใสสะอาด
[รางวัลเกียรติคุณ]
- รางวัลบุคคลตัวอย่างประจำปี 2537
- รางวัลผู้บริหารราชการ ดีเด่น ประจำปี 2538
- รางวัลบุคคลผู้ประพฤติปฏิบัติตนชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
- รางวัลบุคคล ดีเด่นแห่งชาติ สาขาพัฒนาเศรษฐกิจ พ.ศ. 2541
[หนังสือที่แต่ง]
- ใต้เบื้องพระยุคลบาท ,2543
- หลักธรรม หลักทำ ตามรอยพระยุคลบาท ,2549
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล บุรุษผู้ปิดทองหลังพระ
เป็นเวลายี่สิบกว่าปีมาแล้ว ที่เข็มทิศนำทางชีวิตของ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ได้พลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อเขาตัดสินใจสลัดชีวิตโก้หรูสุขสบายปฏิบัติภารกิจเพื่อคนไทยทั้งปวง ในหน้าที่เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพิเศษประสานงานโครงการอันเนื่องมาจาก พระราชดำริ (กปร.) กระทั่งเกษียณอายุราชการ ด้วยวัย 64 ปี กับตำแหน่งเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาฯ ท่านยังคงสนุกกับการลงไป"ลุย" พัฒนาทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทย
ผลงานซึ่งมีท่านผู้นี้อยู่เบื้องหลัง อันเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาคนทั่วไป ได้แก่ การตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนา 6 จังหวัดใน 6 ภูมิภาค คือ ฉะเชิงเทรา เชียงใหม่ เพชรบุรี จันทบุรี นราธิวาส และสกลนคร รวมทั้งโครงการ "เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์" จังหวัดลพบุรี ที่กว่าจะสำเร็จลุล่วงลงได้นั้น คำว่า "ยาก" กินความหมายได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของอุปสรรคซึ่งเกิดขึ้นจริง
"เป็นเรื่องที่ต้องใช้ทั้งเวลา ความอดทน ที่สำคัญต้องยุติธรรมในการเกลี่ยประโยชน์ให้เอื้อไปในจุดที่พอดี ซึ่งตรงนี้ได้รับพระราชทานพระราชกระแสกำชับมา แต่ผลสุดท้ายได้รับความสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยพระบารมีปกเกล้าฯของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พอมาถึงวันนี้รู้สึกว่า เอ๊ะ! ทำไมมันเร็วจังเลย ทั้งที่ตอนทำนั้นรู้สึกว่ายาวนานมาก(หัวเราะ)
"ลองสังเกตดูจะเห็นว่า งานทุกงานของพระเจ้าอยู่หัวฯ พระองค์ท่านจะเจือมิติทางด้านจิตใจเข้าไปทุกแห่ง จะเกลี่ยประโยชน์ตลอด คือไม่มีใครทุกข์ที่สุดหรือสุขที่สุด แต่เจือกันระหว่างคนกับธรรมชาติ คนกับคน ธรรมชาติกับธรรมชาติ แม้ว่าเสร็จแล้วกำไรจะลดลงแต่มันยืนยาว ได้กำไรไปตลอด แต่คนเราเหมือนนักการพนัน อยากรวยเร็วๆ ลืมนึกไปว่าถ้าพลาดก็เจ๊งสนิท ฉะนั้นคนไทยน่าจะทำตามปรัชญาของพระองค์ท่าน สร้างความพอดี พอเพียง เพื่อความยั่งยืน
"แล้วใครบอกว่าปิดทองหลังพระไม่ได้ผลตอบแทนนี่ไม่จริง เพียงแต่มันมาช้าหน่อย อย่างผมผ่านไปสิบกว่าปีจนลืมไปแล้ว รางวัลเริ่มมาทั้งโล่ห์เกียรติยศ ได้เป็นบุคคลตัวอย่าง ได้ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ 7-8 สถาบัน วางเกลื่อนห้องทำงานไปหมด"
แต่ความยินดีที่อยู่เหนือรางวัลใดๆ คือรากแก้วแห่งความดีนี้ หยั่งลึกสืบต่อไปยังทายาททั้งสองคน
"วันดีคืนดีลูกชายคนโต(ณิชศีล) มาขอบวชตอนปิดเทอม ลูกคนเล็ก(อรวัต)เห็นพี่ชายบวชก็บอกว่า ''ปีหน้าช้างบวชบ้าง'' โดยที่ผมไม่เคยบังคับกะเกณฑ์เลย เขาอยู่เมืองนอกเป็นสิบปี พอไปบวชต้องตื่นเช้า เดินเท้าเปล่ากระย่องกระแย่งแต่เขาก็แฮ็ปปี้ดี ในชีวิตเขาคงเห็นพ่อบวชถึงสองหนเลยอยากบวชบ้างก็ได้"
ภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์นี้เอง ดร.สุเมธ ค้นพบว่าหลักคำสอนของพุทธศาสนา ได้ยังประโยชน์ต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตอย่างประมาณค่ามิได้
"คนมักเข้าใจผิดคิดว่า การบวชคือการปฏิบัติตามประเพณี แต่ไม่ได้ดูลึกลงไปว่า การบวชนั้นมีหรือไม่มีประโยชน์กับตัวเราเอง แท้จริงลึกๆคนเราสนใจแต่กาย เจ็บนิดเจ็บหน่อยวิ่งไปหาหมอ แต่สิ่งที่อยู่เหนือกายคือจิต ไม่มีใครสนใจเอาไปพักฟื้นบ้าง ความจริงจิตกับกายเป็นของคู่กัน สิ่งที่เราต้องระมัดระวังรักษาไปพร้อมๆกับกายคือจิต ฉะนั้นการบวชสำหรับผมถือเป็นการพัฒนาจิตใจให้แกร่งขึ้น หรือจิตได้พักผ่อนเป็นอย่างน้อย ไปอยู่วัดป่า เงียบสนิท ไม่ต้องดูทีวี อยู่กับธรรมชาติ อยู่กับตัวเอง ได้อ่านได้เขียนหนังสือ ไม่มีคนมาเยี่ยมให้วุ่นวาย
"แล้วเป็นพระนี่ดีอย่าง ไม่มีเงินสักบาทก็อยู่ได้ กินอาหารมื้อเดียว แต่ร่างกายดีที่สุด รีดน้ำหนักไปได้ 8 กิโลกรัมโดยไม่ทรมานเลย การบวชมันพิสูจน์ทราบว่าร่างกายคนเราต้องการน้อยมาก ที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้เกินเหตุ ถึงได้เส้นเลือดอุดตัน เป็นเบาหวาน เป็นนั่นเป็นนี่ เพราะกินมากเกินไป ตอนบวชผมกินข้าวเหนียวก้อนหนึ่ง ปลาแห้งตัวเล็กๆ ผักก็ปลอดสารพิษ อาหาร 5 หมู่ครบ ไม่จำเป็นต้องมีเนื้ออะไร เสร็จแล้วไปกวาดลานวัดจนเหงื่อโชก แค่นี้ก็อยู่ได้สบายร่างกายแข็งแรง
"พระเจ้าอยู่หัวฯทรงมีรับสั่งว่า " Our loss is our gain." ขาดทุนคือกำไร อาหาร 4 มื้อเหลือมื้อเดียวเรานึกว่าขาดทุน เหงื่อออก ใช้พละกำลังออกไปเรา loss หมด แต่กำไรคือสุขภาพกายสุขภาพจิตดี นี่คือกำไรหมดทุกอย่าง ผมถึงบวชเรื่อยๆถ้ามีเวลาว่าง เหมือนไปฮอลิเดย์"
นั่นคือที่มาของสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์เช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังคงทำงานหนักอย่างสม่ำ เสมอ โดยไม่เคยลาพักร้อน ดร.สุเมธเผยหลักการง่ายๆในการดูแลตัวเองว่า
"ผมคิดว่าอาหารสำคัญกว่าการออกกำลังกาย คือถ้าควบคุมการกินการอยู่ให้พอเหมาะพอควรนะครับ มันพัฒนาตัวเองไปได้เกินครึ่งแล้ว การออกกำลังกายถือเป็นของแถม ผมอาจคิดกลับจากคนอื่น หลายคนมุ่งออกกำลังกายเป็นหลัก แต่ความจริงต้นตอคืออาหาร ถ้ามีอาหารครบถ้วน ร่างกายมันก็อยู่ในลักษณะพอดี น้ำหนักเราก็ไม่เกิน
"ส่วนการออกกำลังกาย ถ้าเอาสติเข้าจับจริงๆเป็นการออกกำลังกายตลอด ขอเพียงในชีวิตประจำวันเราไม่ไปผูกติดกับสิ่งอำนวยความสะดวกมากนัก เดินเหินขึ้นบันไดบ้าง สุภาษิตจีนเขาบอกว่า ''ให้เดินวันละพันก้าว'' อย่าหยุดเคลื่อนไหวโดยไม่จำเป็น แล้วพักผ่อนให้เพียงพอ แค่นี้ก็รักษาสุขภาพได้แล้ว
"อย่างผมอายุ 64 ปี ยังเดินป่าเป็นระยะ ไปดูนก ใช้ชีวิตนอนกลางดินกินกลางทราย นุ่งผ้าขาวม้ากระโดดลำธารเล่น ไม่สบายหรอกนะแต่มีความสุขมาก ได้อยู่ติดดิน เพราะอยู่ในเมืองชีวิตมันปรุงแต่งไปหมด แต่ยอมรับว่าความทนทานเทียบกับเมื่อก่อนไม่ได้นะ เหมือนรถเก่าน่ะ ออกไปเดินป่าหรือทำงานหนักๆตากแดด ตากฝน ถือว่ายังโอเค พอใช้ได้ แต่จะให้แข็งแรงแบบเก่าคงไม่ได้" ดร.สุเมธระบายยิ้ม

1 ความคิดเห็น: